
E-commerce vs Marketplace ธุรกิจแบบไหนเหมาะกับคุณ

E-commerce vs Marketplace ธุรกิจแบบไหนเหมาะกับคุณ
ในยุคดิจิทัลที่การค้าขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว หลายคนที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์อาจกำลังลังเลระหว่างการสร้าง E-commerce ของตัวเองกับการเข้าร่วม Marketplace ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้มีความแตกต่างกันในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นต้นทุน การบริหารจัดการ ความยืดหยุ่น และโอกาสในการเติบโต
E-commerce คือการสร้างร้านค้าออนไลน์ของตัวเองผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มเฉพาะ ซึ่งธุรกิจจะมีอิสระในการควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่การออกแบบเว็บไซต์ การตั้งราคาสินค้า ไปจนถึงการตลาดและการบริการลูกค้า เจ้าของธุรกิจสามารถกำหนดแบรนด์ของตัวเองได้เต็มที่ ไม่ต้องแข่งขันโดยตรงกับร้านค้ารายอื่นบนแพลตฟอร์มเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การทำ E-commerce นั้นต้องมีการลงทุนตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งค่าใช้จ่ายด้านเว็บไซต์ ค่าพัฒนาแพลตฟอร์ม และงบประมาณในการทำการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้า
ในขณะที่ Marketplace เป็นแพลตฟอร์มที่มีร้านค้าหลายแห่งมารวมตัวกัน เช่น Shopee, Lazada หรือ Amazon เจ้าของธุรกิจไม่ต้องสร้างเว็บไซต์เอง แต่ใช้แพลตฟอร์มของ Marketplace เป็นช่องทางในการขายสินค้า โดยข้อดีของ Marketplace คือการที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาหรือโปรโมตมากเท่ากับการทำ E-commerce อย่างไรก็ตาม Marketplace มักมีการแข่งขันสูง และธุรกิจอาจต้องพึ่งพากฎเกณฑ์และค่าธรรมเนียมของแพลตฟอร์มที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
การเลือกว่าจะทำ E-commerce หรือเข้าร่วม Marketplace นั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางธุรกิจและทรัพยากรที่มี หากคุณต้องการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ ควบคุมทุกอย่างได้ และพร้อมลงทุนเพื่อการเติบโตระยะยาว E-commerce อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากคุณต้องการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ลดต้นทุนเริ่มต้น และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาแพลตฟอร์มเอง Marketplace อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า หรือในบางกรณี อาจใช้ทั้งสองช่องทางควบคู่กันไปเพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่เพราะฉนั้น เราต้องมาทำความรู้จักและความเข้าใจทั้งสองธุรกิจนี้ ว่าแบบไหนสามารถตอบโจทย์ความต้องการในการจะทำธุรกิจของเรานั้นได้มากที่สุด บทความนี้มีคำตอบครับ
E-commerce และ Marketplace คืออะไร?
ในยุคที่อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจ การค้าขายออนไลน์ (Online Business) กลายเป็นหนึ่งในช่องทางสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจในการเข้าถึงลูกค้า และสร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล คำว่า E-commerce และ Marketplace มักถูกพูดถึงเป็นหลักในการทำธุรกิจออนไลน์ แต่ทั้งสองแนวทางนี้มีความแตกต่างกันในด้านโครงสร้าง การดำเนินงาน และผลกระทบต่อธุรกิจ
E-commerce คืออะไร?
E-commerce (Electronic Commerce) หมายถึง การซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์โดยตรง ซึ่งร้านค้าจะเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ของตัวเอง หรือใช้แพลตฟอร์มสำเร็จรูป เช่น Shopify, WooCommerce หรือ Magento ร้านค้าที่ดำเนินธุรกิจแบบ E-commerce จะต้องบริหารจัดการทุกส่วนของร้านค้าเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเว็บไซต์ ระบบชำระเงิน ระบบสต็อกสินค้า การตลาด และการบริการลูกค้า
E-commerce แบ่งออกได้เป็นหลายประเภท เช่น
-B2C (Business to Consumer) คือ ธุรกิจขายสินค้าให้กับลูกค้าทั่วไป เช่น เว็บไซต์แบรนด์เสื้อผ้า หรือร้านค้าออนไลน์ที่จำหน่ายอุปกรณ์ไอที
-B2B (Business to Business) คือ ธุรกิจที่ขายสินค้าให้กับธุรกิจอื่น เช่น ผู้ค้าส่งหรือบริษัทที่จำหน่ายซอฟต์แวร์ให้กับองค์กร
-C2C (Consumer to Consumer) คือ การซื้อขายระหว่างบุคคล เช่น เว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้งานซื้อขายกันเอง
-D2C (Direct to Consumer) คือ แบรนด์ที่ขายตรงถึงผู้บริโภคโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
ข้อดีของการทำ E-commerce คือ เจ้าของธุรกิจมีอิสระในการกำหนดทุกอย่างได้เอง ทั้งการตั้งราคาสินค้า การออกแบบหน้าร้าน การทำการตลาด และการสื่อสารกับลูกค้าโดยตรง แต่ข้อเสียก็คือ การสร้างและบริหารแพลตฟอร์มของตัวเองนั้นต้องใช้เวลา แรงงาน และงบประมาณค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ต้องใช้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาเว็บไซต์ ทำโฆษณา และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก
Marketplace คืออะไร?
Marketplace คือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวมร้านค้าหรือผู้ขายหลายรายให้อยู่ในที่เดียวกัน ผู้ขายสามารถนำสินค้าของตนไปลงขายบนแพลตฟอร์มเหล่านี้โดยไม่ต้องสร้างเว็บไซต์เอง ตัวอย่างของ Marketplace ที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ Shopee, Lazada, Amazon, eBay และ JD Central
Marketplace สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
-Marketplace แนวนอน (Horizontal Marketplace) เช่น Shopee และ Lazada ที่ขายสินค้าหลากหลายประเภทจากหลายหมวดหมู่
-Marketplace แนวตั้ง (Vertical Marketplace) เช่น Airbnb และ Etsy ที่เน้นเฉพาะสินค้าหรือบริการประเภทใดประเภทหนึ่ง
-Marketplace แบบไฮบริด ที่รวมทั้งสินค้าของร้านค้าทั่วไปและของแพลตฟอร์มเอง เช่น Amazon ที่ขายสินค้าทั้งของแบรนด์ตัวเองและร้านค้าอื่น
ข้อดีของ Marketplace คือ มีฐานลูกค้าใหญ่ ผู้ขายสามารถเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมากได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนสร้างแพลตฟอร์มเอง แถมยังมีระบบสนับสนุนที่ช่วยให้การขายสินค้าเป็นเรื่องง่ายขึ้น เช่น ระบบชำระเงิน การจัดส่ง และโปรโมชั่นจากแพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม ข้อเสียก็คือ ผู้ขายต้องปฏิบัติตามกฎของ Marketplace ซึ่งอาจมีข้อจำกัดในการตั้งราคา การแข่งขันสูง และค่าธรรมเนียมที่อาจกินกำไรไปพอสมควร
เปรียบเทียบ E-commerce vs Marketplace

ธุรกิจแบบไหนเหมาะกับคุณ?

การเลือกทำ E-commerce เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างธุรกิจระยะยาวและมีความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจออนไลน์ด้วยตัวเอง หากคุณมีเป้าหมายดังต่อไปนี้ E-commerce อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
1.ต้องการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์
หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณมีเอกลักษณ์และเป็นที่จดจำ การมีเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มของตัวเองจะช่วยให้คุณควบคุมดีไซน์ โลโก้ และภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้เต็มที่ ไม่ต้องแข่งกับร้านค้าอื่นบนแพลตฟอร์มเดียวกันเหมือนใน Marketplace
2.ต้องการควบคุมทุกด้านของธุรกิจ
เมื่อคุณสร้างร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง คุณสามารถกำหนดราคาขาย กลยุทธ์ทางการตลาด และโปรโมชั่นได้เอง โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของ Marketplace คุณสามารถออกแบบประสบการณ์การซื้อขายให้ตรงกับลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น
3.ต้องการสร้างฐานลูกค้าของตัวเอง
ใน Marketplace ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นของแพลตฟอร์ม แต่ใน E-commerce ลูกค้าจะเป็นของคุณเอง ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเก็บข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ และทำการตลาดซ้ำเพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำได้ง่ายขึ้น
4.ต้องการกำไรที่มากกว่าในระยะยาว
Marketplace มักมีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าใช้แพลตฟอร์ม ค่าธรรมเนียมธุรกรรม และค่าคอมมิชชันจากยอดขาย แต่ถ้าคุณมีเว็บไซต์ของตัวเอง รายได้ทั้งหมดจะเป็นของคุณ (หักเฉพาะต้นทุนพื้นฐาน เช่น ค่าโฮสติ้ง และค่าโฆษณา) ทำให้มีกำไรมากกว่าในระยะยาว
5.ต้องการมีอิสระด้านการตลาด
หากคุณต้องการใช้กลยุทธ์การตลาดที่ซับซ้อน เช่น การทำ SEO การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย หรือระบบสมาชิกเพื่อรักษาฐานลูกค้า การมีเว็บไซต์ของตัวเองจะช่วยให้คุณควบคุมแคมเปญทางการตลาดได้ดีกว่า Marketplace ที่มีกฎระเบียบจำกัด
6.สามารถลงทุนทั้งเงินและเวลาได้
การทำ E-commerce ต้องใช้เงินลงทุนและเวลาในช่วงแรก ไม่ว่าจะเป็นค่าพัฒนาเว็บไซต์ ค่าทำโฆษณา ค่าเซิร์ฟเวอร์ และต้นทุนในการสร้างแบรนด์ หากคุณสามารถลงทุนระยะยาวและมีทีมงานที่พร้อม E-commerce จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่าในอนาคต
7.มีสินค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche Product)
หากสินค้าของคุณเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์หรือขายให้กลุ่มลูกค้าเฉพาะ การทำ E-commerce จะช่วยให้คุณเข้าถึงตลาดเป้าหมายได้ดีกว่า Marketplace ที่มีการแข่งขันสูงและสินค้าไม่แตกต่างกันมาก

การเลือกทำ Marketplace หากคุณต้องการขายสินค้าออนไลน์โดยไม่ต้องเสียเวลาสร้างเว็บไซต์เอง และต้องการเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากได้ทันที Marketplace อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะกับคุณ โดยเฉพาะในกรณีต่อไปนี้
1.ต้องการเริ่มต้นขายสินค้าได้เร็ว
Marketplace เช่น Shopee, Lazada หรือ Amazon มีระบบที่พร้อมใช้งานทันที คุณสามารถสมัครเปิดร้าน อัปโหลดสินค้า และเริ่มขายได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ไม่ต้องเสียเวลาพัฒนาเว็บไซต์หรือสร้างระบบชำระเงินเอง
2.มีงบประมาณจำกัด ไม่ต้องการลงทุนสูงในช่วงแรก
หากคุณต้องการขายสินค้าโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้นจำนวนมาก Marketplace เป็นทางเลือกที่ดี เพราะไม่ต้องจ่ายค่าพัฒนาเว็บไซต์ ค่าโฮสติ้ง หรือค่าทำโฆษณาหนัก ๆ Marketplace ยังช่วยลดต้นทุนด้านการตลาด เพราะมีผู้ใช้งานจำนวนมากที่เข้ามาค้นหาสินค้าอยู่แล้ว
3.ต้องการเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากในทันที
Marketplace มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่พร้อมจะซื้อสินค้า ซึ่งช่วยให้คุณเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายกว่าการสร้างเว็บไซต์ใหม่และต้องทำโฆษณาเองเพื่อดึงดูดลูกค้า
4.ไม่ต้องการจัดการด้านเทคนิคเอง
การทำ E-commerce ต้องมีความรู้ด้านการพัฒนาเว็บไซต์ การตั้งค่าระบบชำระเงิน การดูแลเซิร์ฟเวอร์ และการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า แต่หากคุณเลือกขายใน Marketplace ทุกอย่างถูกจัดการให้เรียบร้อย คุณเพียงแค่ลงขายสินค้าและดูแลคำสั่งซื้อเท่านั้น
5.ต้องการใช้ประโยชน์จากโปรโมชั่นและแคมเปญของแพลตฟอร์ม
Marketplace มักมีโปรโมชั่นและแคมเปญส่วนลดที่ดึงดูดลูกค้า เช่น Flash Sale, Free Shipping หรือ Cashback ซึ่งช่วยให้ร้านค้าของคุณมีโอกาสขายได้มากขึ้นโดยที่คุณไม่ต้องลงทุนเองทั้งหมด
6.ไม่ต้องการจัดการระบบชำระเงินและการจัดส่งเอง
Marketplace มีระบบชำระเงินและการขนส่งที่ครบวงจร ทำให้คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรับเงินจากลูกค้า หรือการส่งสินค้าผ่านบริษัทขนส่ง เพราะ Marketplace จะจัดการให้ทั้งหมด
7.ขายสินค้าที่มีการแข่งขันสูงและต้องการขายปริมาณมาก
หากสินค้าของคุณเป็นสินค้าที่มีอยู่ทั่วไปและมีการแข่งขันสูง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์มือถือ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า Marketplace เป็นทางเลือกที่ดี เพราะช่วยให้คุณขายได้ปริมาณมากโดยอาศัยความนิยมของแพลตฟอร์ม
8.สามารถแข่งขันด้านราคาได้
Marketplace มักเป็นแพลตฟอร์มที่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง หากคุณสามารถตั้งราคาสินค้าให้แข่งขันได้ มีต้นทุนต่ำ และสามารถเสนอโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า Marketplace จะช่วยให้คุณทำกำไรจากยอดขายปริมาณมาก
ทางเลือกแบบผสม ใช้ทั้ง E-commerce และ Marketplace
สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มโอกาสในการขายและขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง การใช้ทั้ง E-commerce และ Marketplace ควบคู่กัน เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะแต่ละช่องทางมีข้อดีที่แตกต่างกัน และสามารถเสริมจุดแข็งซึ่งกันและกันได้
ทำไมควรใช้ทั้งสองช่องทาง?
1. เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าให้กว้างขึ้น
Marketplace ช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากแพลตฟอร์มมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่พร้อมซื้อสินค้า
E-commerce ช่วยให้คุณรักษาฐานลูกค้าได้ยาวนานขึ้น เพราะคุณสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าและนำไปทำการตลาดต่อได้
2. ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาช่องทางใดช่องทางหนึ่งมากเกินไป
หากพึ่งพา Marketplace เพียงอย่างเดียว คุณอาจเผชิญปัญหาจากค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลง หรือการแข่งขันที่รุนแรง
หากพึ่งพา E-commerce อย่างเดียว คุณอาจต้องลงทุนในการทำโฆษณาและการตลาดมากขึ้นเพื่อให้ได้ลูกค้า
การใช้ทั้งสองช่องทางช่วยกระจายความเสี่ยงและทำให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
3. ใช้ Marketplace เป็นช่องทางดึงลูกค้าเข้าสู่ E-commerce ของคุณ
คุณสามารถใช้ Marketplace เพื่อให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของคุณ แล้วดึงพวกเขามาซื้อผ่าน E-commerce ของคุณเอง ในอนาคต
วิธีทำเช่นนี้อาจรวมถึงการให้บริการลูกค้าแบบพรีเมียม หรือเสนอโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ของคุณ
4. เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าแบบพรีเมียมและสร้างความแตกต่าง
บน Marketplace คุณอาจขายสินค้าที่ได้รับความนิยมสูง และมีการแข่งขันสูง เพื่อสร้างยอดขาย บน E-commerce คุณสามารถขายสินค้าที่เป็น สินค้าพิเศษ หรือ สินค้าคอลเลกชันพิเศษ ที่ไม่มีขายบน Marketplace เพื่อดึงดูดลูกค้าขาประจำ
5. ควบคุมแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น
แม้คุณจะใช้ Marketplace เป็นช่องทางขายหลัก แต่การมีเว็บไซต์ของตัวเองช่วยให้คุณสามารถ สร้างแบรนด์ และ สื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรง ลูกค้าสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับแบรนด์ของคุณผ่านเว็บไซต์ และเกิดความไว้วางใจในระยะยาว
กลยุทธ์การใช้ทั้ง E-commerce และ Marketplace ร่วมกัน เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณได้ประโยชน์สูงสุดจากทั้งสองช่องทาง Marketplace จะช่วยให้คุณขายสินค้าได้เร็วและเข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก ส่วน E-commerce จะช่วยให้คุณสร้างแบรนด์ รักษาฐานลูกค้า และควบคุมธุรกิจของคุณได้อย่างเต็มที่ การผสมผสานทั้งสองช่องทางจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว
สรุป

การเลือกทำธุรกิจออนไลน์ผ่าน E-commerce หรือ Marketplace ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของธุรกิจ และทรัพยากรที่มี รวมถึงกลยุทธ์การขายของคุณ หากคุณต้องการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ควบคุมทุกด้านของธุรกิจ และเน้นความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า E-commerce เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แม้ว่าจะต้องลงทุนด้านเว็บไซต์ การตลาด และการดูแลระบบเอง แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว ถ้าหากคุณต้องการขายสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ลงทุนเริ่มต้นต่ำ และใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าของแพลตฟอร์ม Marketplace ก็จะช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากโดยไม่ต้องสร้างระบบเอง อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องแข่งขันสูงและปฏิบัติตามกฎของแพลตฟอร์ม และถ้าหากคุณต้องการสร้างความได้เปรียบสูงสุด การใช้ทั้งสองช่องทางร่วมกัน เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด Marketplace จะช่วยให้คุณเพิ่มยอดขายในระยะสั้น ส่วน E-commerce จะช่วยให้คุณสร้างฐานลูกค้าประจำและควบคุมแบรนด์ในระยะยาว สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือกช่องทางใด การประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการที่ดี การตลาดที่มีประสิทธิภาพ และความสามารถในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เลือกช่องทางที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณและวางแผนให้รอบคอบเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง