ConnectBizs

ผู้บริหาร VS Gen Z ต้องปรับตัวยังไง?

connectbizs

25/04/2025

ผู้บริหาร VS ปัญหา Gen Z ในองค์กร

ผู้บริหาร VS ปัญหา Gen Z ในองค์กร

ในโลกของการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า คน คือองค์ประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนองค์กร และเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป คน ในที่นี้ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรเริ่มเปิดประตูต้อนรับคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z เข้ามาร่วมงาน ความท้าทายที่ผู้บริหารต้องเผชิญก็ยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการสื่อสาร ความเข้าใจในความต้องการ การสร้างแรงจูงใจ ตลอดจนการบริหารจัดการทัศนคติที่แตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างรุ่น Gen Z คือกลุ่มคนที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย พวกเขามีความคิดเป็นของตัวเอง ชอบความยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับรูปแบบการทำงานแบบเดิม และมักตั้งคำถามกับระบบต่าง ๆ ที่ดูไม่ยุติธรรม หรือไม่มีเหตุผลในสายตาของพวกเขา นี่คือสิ่งที่ผู้บริหารจำนวนไม่น้อยรู้สึก ปวดหัว เพราะวัฒนธรรมองค์กรที่มีอยู่มักยังยึดถือค่านิยมของคนรุ่นก่อนหน้า ซึ่งเน้นเรื่องลำดับขั้น การเชื่อฟัง และความอดทนต่อระบบ มากกว่าการเปิดรับความคิดใหม่ๆ หรือความหลากหลายของแนวทางการทำงาน


หนึ่งในปัญหาหลักที่พบเจอคือช่องว่างทางความคิดและการสื่อสาร ผู้บริหารบางคนยังคงคาดหวังให้พนักงานรุ่นใหม่ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่ถามเหตุผล ขณะที่ Gen Z ต้องการรู้ว่า ทำไมต้องทำ จะได้อะไร? และวิธีที่ดีกว่านี้มีไหม การตั้งคำถามเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ให้ความเคารพผู้บริหาร แต่เป็นเพราะพวกเขาเติบโตมาในยุคที่ข้อมูลเปิดกว้าง คำถามคือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ และความเข้าใจคือสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่แพ้เงินเดือน อีกหนึ่งความท้าทายคือเรื่องของความภักดีต่อองค์กร สำหรับ Gen Z แล้ว ความภักดีไม่ได้เกิดจากการอยู่กับที่นานๆ แต่เกิดจากความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ได้รับโอกาสในการเติบโต และได้ทำงานที่สอดคล้องกับคุณค่าของตนเอง หากพวกเขารู้สึกว่าตนเองถูกจำกัดความคิด ถูกบังคับให้อยู่ในกรอบ หรือไม่สามารถมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ พวกเขาก็พร้อมจะเดินออกไปโดยไม่ลังเล


ผู้บริหารในยุคนี้จึงจำเป็นต้องปรับมุมมอง ไม่ใช่แค่ในแง่ของการควบคุมคน แต่ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น ผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจ และ ผู้ฟังที่เปิดใจ มากกว่าจะเป็น เจ้านายที่ออกคำสั่ง การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับความคิดเห็นใหม่ๆ เคารพความแตกต่าง และให้พื้นที่กับคนรุ่นใหม่ในการลองผิดลองถูก จะช่วยให้พนักงาน Gen Z รู้สึกเป็นเจ้าของ และพร้อมจะเติบโตไปกับองค์กร อย่างไรก็ตาม ความท้าทายนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องแบกรับฝ่ายเดียว ผู้บริหารเองก็มีสิทธิ์คาดหวังความรับผิดชอบ ความอดทน และความเป็นมืออาชีพจากคนรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน การอยู่ร่วมกันของคนหลายรุ่นในองค์กรไม่ใช่สงครามของอำนาจหรือความถูกผิด แต่เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน การเปิดใจรับฟังกันและกัน และการประนีประนอมในจุดที่เหมาะสม เพื่อให้ทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น สุดท้ายแล้ว Gen Z ไม่ใช่ปัญหา หากแต่เป็นโอกาสในการยกระ ดับวัฒนธรรมองค์กรให้ทันยุคทันสมัย และหากผู้บริหารสามารถเข้าใจและปรับตัวได้ ความแตกต่างนี้จะกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จในอนาคต เพราะตอนนี้หลายองค์กรกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงเจนเนอเรชันวันนี้ Connectbizs จึงยกหัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้มาแชร์ให้ผู้ประกอบการและผู้บริหารได้เข้าใจ และปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็น บุคลากรที่สำคัญอย่าง เหล่า Gen Z ทั้งวิธีคิดและการใช้ชีวิตใหม่ๆ ผู้บริหารที่สามารถปรับตัวและเข้าใจคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z ได้อย่างแท้จริง คือผู้ที่มองเห็นโอกาสท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง การบริหารคนรุ่นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการสั่งงาน แต่เป็นเรื่องของการสร้างแรงจูงใจ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และการเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ ความท้าทายที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหา อาจกลายเป็นจุดแข็งที่สุดขององค์กรในยุคที่ความคิดสร้างสรรค์และการปรับตัวคือหัวใจของความอยู่รอด จะมีองค์ประกอบ และข้อดีอะไรบ้างในการปรับตัว เราไปดูกันเลยครับ


Gen Z คือใคร?

ผู้บริหาร VS ปัญหา Gen Z ในองค์กร

Gen Z เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี 1997 ถึง 2012 ซึ่งหมายความว่าในปัจจุบันพวกเขามีอายุระหว่าง 13 ถึง 28 ปี กลุ่มนี้ถือเป็นรุ่นที่เติบโตในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัลและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้พวกเขามีความคุ้นเคยและพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ตลอดจนมีวิธีการใช้ชีวิตและมุมมองที่แตกต่างจากรุ่นก่อนๆ ในด้านการเติบโตของสังคมและเศรษฐกิจ Gen Z มักจะเป็นกลุ่มที่มีความคิดเห็นที่เปิดกว้างและสนใจเรื่องของความหลากหลายทางวัฒนธรรม รวมถึงการปกป้องสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และการสร้างสังคมที่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศ ความเชื่อทางศาสนา และการสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรมทางสังคม


นอกจากนั้น Gen Z ยังเป็นกลุ่มที่เติบโตในยุคที่โซเชียลมีเดียและเทคโนโลยีต่างๆ มีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์และการติดต่อสื่อสาร ทำให้พวกเขามีความสามารถในการใช้งานแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Instagram, TikTok, Twitter, และ YouTube อย่างคล่องแคล่ว ไม่เพียงแค่ใช้ในการติดตามข่าวสารหรือบันเทิงเท่านั้น แต่ยังใช้ในการแสดงออกถึงความคิดและการสร้างอิทธิพลในโลกออนไลน์ ลักษณะพิเศษของ Gen Z คือการมองโลกในแง่บวกและมีแนวโน้มที่จะแสวงหาความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับการทำงานที่มีความหมาย และเลือกทำงานในบริษัทที่มีค่านิยมและจริยธรรมที่ตรงกับตัวเอง การทำงานแบบยืดหยุ่นและการหาความสุขในชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขา


ความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้เร็วในโลกดิจิทัล ทำให้ Gen Z เป็นกลุ่มที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีสูง พวกเขามักจะคุ้นเคยกับการทำงานแบบออนไลน์ หรือการศึกษาแบบออนไลน์ตั้งแต่เด็กๆ ส่งผลให้พวกเขามีความเข้าใจในเทคโนโลยีอย่างลึกซึ้ง และสามารถใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับ Gen Z แล้ว การมีความสัมพันธ์ที่ดีในเชิงสังคมและการรักษาสุขภาพจิตถือเป็นสิ่งสำคัญ พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับการใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูง รวมถึงการดูแลจิตใจและร่างกายจากความเครียดหรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน


ด้วยเหตุนี้ Gen Z จึงถือเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลในสังคมและเศรษฐกิจอย่างมาก เนื่องจากพวกเขามีวิธีการมองโลกและใช้ชีวิตที่แตกต่างจากรุ่นก่อนๆ ไม่เพียงแต่ในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีและการทำงาน แต่ยังรวมถึงการมีความคิดสร้างสรรค์ในการดำเนินชีวิตในยุคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว Gen Z คือกลุ่มคนที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต ผ่านมุมมองที่เปิดกว้างและการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า พวกเขากำลังสร้างสังคมที่เน้นความยั่งยืนและความเป็นธรรม โดยมีความพยายามที่จะทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่ดีกว่าเดิมสำหรับทุกคน


แนวคิดของ Gen Z ในการทำงาน ที่ผู้บริหารต้องรู้


ในปัจจุบัน Gen Z จะกลายเป็นกลุ่มบุคลากรหลักในอนาคตดังนั้น การทำความเข้าใจแนวคิดในการทำงานของพวกเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารทุกคนต้องให้ความสนใจ เพราะการปรับตัวให้เข้ากับแนวคิดเหล่านี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรในระยะยาว


1. ความยืดหยุ่นในเวลาและสถานที่ทำงาน

หนึ่งในลักษณะสำคัญของ Gen Z คือความต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน ทั้งในเรื่องของเวลาทำงานและสถานที่ทำงาน พวกเขามักจะมองหางานที่สามารถปรับเปลี่ยนเวลาได้ตามความสะดวก หรือแม้กระทั่งการทำงานจากที่บ้านหรือสถานที่ที่สะดวกสำหรับพวกเขา การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความยืดหยุ่นสามารถช่วยให้พวกเขารู้สึกสบายใจและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น ผู้บริหารควรพิจารณานโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น เช่น การทำงานจากระยะไกล (remote work) หรือการจัดตารางเวลาแบบยืดหยุ่น เพื่อดึงดูดและรักษาพนักงาน Gen Z


2. ความสำคัญของการทำงานที่มีความหมาย

สำหรับ Gen Z การทำงานที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับค่านิยมของพวกเขาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พวกเขามักจะมองหางานที่ไม่เพียงแค่ให้เงินเดือนที่ดี แต่ยังต้องมีความรู้สึกว่าการทำงานนั้นมีส่วนช่วยในการสร้างสังคมที่ดีกว่าเดิม หรือสนับสนุนในประเด็นต่างๆ เช่น สิ่งแวดล้อม, ความยุติธรรม, และการสนับสนุนชุมชน การที่ผู้บริหารสามารถสร้างความเชื่อมโยงระหว่างองค์กรและพันธกิจที่มีความหมายจะช่วยให้พนักงาน Gen Z รู้สึกมีความสุขและทุ่มเทในการทำงานมากยิ่งขึ้น


3. ความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

Gen Z มีความต้องการที่จะพัฒนาทักษะและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง พวกเขาเติบโตในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงมักจะคาดหวังว่าทั้งองค์กรและผู้บริหารจะให้โอกาสในการฝึกอบรมและพัฒนาไม่ว่าจะเป็นทางด้านทักษะการทำงานใหม่ๆ หรือทักษะที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตในสายอาชีพ การพัฒนาโอกาสการเรียนรู้ภายในองค์กร เช่น การอบรมออนไลน์หรือเวิร์กช็อป สามารถช่วยให้พนักงาน Gen Z รู้สึกว่าพวกเขากำลังเติบโตและไม่หยุดนิ่งในสายงานของตน


4. การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาและโปร่งใส

พนักงาน Gen Z มักจะให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่โปร่งใสและตรงไปตรงมา พวกเขาต้องการรู้ข้อมูลอย่างชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางขององค์กรหรือเป้าหมายของทีม รวมถึงความคาดหวังในงานที่ทำ พวกเขาไม่ชอบการสื่อสารที่คลุมเครือหรือไม่ชัดเจน ดังนั้นผู้บริหารจึงควรสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการสื่อสารที่เปิดเผยและมีประสิทธิภาพ โดยการให้ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอและตอบคำถามของพนักงานอย่างตรงไปตรงมา


5. การใช้เทคโนโลยีในการทำงาน

เนื่องจาก Gen Z เติบโตในยุคดิจิทัล พวกเขามีความคุ้นเคยและชำนาญในการใช้เทคโนโลยีต่างๆ มากขึ้น พวกเขาอาจมองว่าการใช้เทคโนโลยีในการทำงานไม่ใช่แค่เครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์การทำงานที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ผู้บริหารต้องมีการลงทุนในเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้พนักงาน Gen Z สามารถทำงานได้สะดวกและมีประสิทธิภาพ


6. ความต้องการในการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว

อีกหนึ่งลักษณะเด่นของ Gen Z คือการให้ความสำคัญกับการมีสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว พวกเขามักจะมองหางานที่สามารถจัดการเวลาได้ดี เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตส่วนตัวหรือสุขภาพจิต การส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการสร้างสมดุลนี้ เช่น การให้วันหยุดที่ยืดหยุ่นหรือการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี จะช่วยให้พนักงาน Gen Z รู้สึกว่างานของพวกเขามีความยืดหยุ่นและไม่เกิดความเครียด


7. การให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วม

Gen Z มักจะมองว่าการทำงานเป็นทีมและการร่วมมือกันเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำงาน พวกเขามักจะชอบทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการทำงานร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผู้บริหารต้องสนับสนุนและส่งเสริมการทำงานเป็นทีม โดยการสร้างโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพนักงานและการสร้างวัฒนธรรมที่ยอมรับความคิดเห็นจากทุกคนในทีม


8. การให้ความสำคัญกับความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง

Gen Z เติบโตในยุคที่ความหลากหลายทางเชื้อชาติ เพศ และศาสนามีความสำคัญ พวกเขามักจะคาดหวังว่าองค์กรจะมีความหลากหลายและให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยอมรับความแตกต่าง เพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร การทำความเข้าใจในแนวคิดและพฤติกรรมของ Gen Z จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถปรับตัวและพัฒนาองค์กรให้ตอบสนองต่อความต้องการและค่านิยมของพนักงานรุ่นใหม่ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้พวกเขารู้สึกมีความสุขและทุ่มเทในการทำงาน ส่งผลให้องค์กรสามารถดึงดูดและรักษาพนักงาน Gen Z ได้อย่างยาวนาน




ทำไมผู้บริหารต้องปรับตัว?

ผู้บริหาร VS ปัญหา Gen Z ในองค์กร

การปรับตัวของผู้บริหารเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ Gen Z เติบโตในยุคที่เทคโนโลยีและการเชื่อมต่อดิจิทัลมีบทบาทอย่างมาก พวกเขามีวิธีการทำงานและการคิดที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนๆ ที่มักจะยึดติดกับวิธีการทำงานแบบเดิมๆ ที่เน้นการทำงานในสำนักงานตลอดเวลา การปรับตัวในเรื่องของการทำงานจากระยะไกลหรือการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถดึงดูดและรักษาพนักงาน Gen Z ได้ดียิ่งขึ้น สำหรับ Gen Z พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับการมีความยืดหยุ่นในเวลาทำงานและสถานที่ทำงาน ซึ่งผู้บริหารที่ไม่สามารถให้ความยืดหยุ่นในเรื่องนี้ได้อาจทำให้พนักงาน Gen Z รู้สึกอึดอัดหรือไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ การยอมรับและปรับนโยบายให้สามารถทำงานจากที่บ้านหรือมีเวลาในการทำงานที่ยืดหยุ่น จึงเป็นวิธีที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและช่วยให้พวกเขามีความสุขในการทำงานมากยิ่งขึ้น


ข้อดีของการทำงานของ Gen Z ที่ผู้บริหารต้องเข้าใจคือ พวกเขามักจะมีความคิดสร้างสรรค์และมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีที่สูงมาก การเติบโตในยุคที่เต็มไปด้วยอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้ Gen Z มีความสามารถในการเรียนรู้และใช้เครื่องมือดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาสามารถปรับตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีค่าในยุคที่โลกธุรกิจต้องการความรวดเร็วและความคล่องตัว และอีกข้อดีหนึ่งของ Gen Z คือ พวกเขามักจะมีความมุ่งมั่นในการทำงานที่มีความหมาย พวกเขามองหางานที่ไม่เพียงแค่สร้างรายได้ แต่ยังต้องมีคุณค่าและเชื่อมโยงกับค่านิยมส่วนตัว เช่น การทำงานในองค์กรที่มีค่านิยมด้านความยั่งยืน ความหลากหลายทางวัฒนธรรม หรือการสนับสนุนประเด็นทางสังคม การที่พวกเขาต้องการทำงานในองค์กรที่มีจริยธรรมและเป้าหมายที่ดีสามารถช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี และทำให้พนักงาน Gen Z รู้สึกมีคุณค่าและแรงบันดาลใจในการทำงาน


การทำงานร่วมกับ Gen Z ยังช่วยส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการทำงานและการสื่อสารที่ทันสมัย พวกเขามีความสามารถในการใช้งานเครื่องมือดิจิทัลและแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งทำให้การสื่อสารในองค์กรมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานจากที่บ้านหรือการทำงานทางออนไลน์เป็นที่นิยม ผู้บริหารสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของทีมและลดอุปสรรคในการทำงานร่วมกัน อีกประเด็นที่สำคัญคือ Gen Z มีความเข้าใจในเรื่องของความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง พวกเขามักจะสนับสนุนความหลากหลายทางเชื้อชาติ เพศ และศาสนา และมองว่าการยอมรับความแตกต่างเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความเป็นธรรมและเปิดกว้าง สำหรับผู้บริหาร การสร้างวัฒนธรรมที่ยอมรับความหลากหลายและเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างทีมงานที่มีพื้นฐานต่างกัน จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและสร้างบรรยากาศที่ดีในองค์กร


การปรับตัวในด้านการพัฒนาทักษะและการให้โอกาสในการเติบโตในองค์กรก็เป็นสิ่งสำคัญ พนักงาน Gen Z มักจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ การสร้างโปรแกรมฝึกอบรมและการให้โอกาสในการเติบโตในสายอาชีพจะช่วยรักษาพนักงาน Gen Z ไว้ในองค์กร และทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองมีอนาคตในองค์กร ในส่วนของการสื่อสาร ผู้บริหารต้องเข้าใจว่า Gen Z ต้องการความโปร่งใสและการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา พวกเขามักจะไม่ชอบการสื่อสารที่คลุมเครือหรือไม่ชัดเจน การให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางขององค์กร เป้าหมาย และความคาดหวังในงานจะช่วยให้พนักงาน Gen Z รู้สึกมีส่วนร่วมและเข้าใจบทบาทของตนในองค์กร


วิธีการปรับตัวของผู้บริหาร

ผู้บริหาร VS ปัญหา Gen Z ในองค์กร

องค์ประกอบสำคัญของการบริหาร Gen Z ให้ได้ผล ควรทำอย่างไร

ผู้บริหาร VS ปัญหา Gen Z ในองค์กร

การบริหาร Gen Z ให้มีประสิทธิภาพ คือการเข้าใจในตัวตน แนวคิด และวิธีมองโลกของคนรุ่นนี้อย่างแท้จริง Gen Z เติบโตมาในยุคที่เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พวกเขาเปิดกว้างทางความคิด มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และไม่ยอมรับการทำงานแบบเก่าๆ ที่ไม่มีเหตุผลรองรับ ดังนั้น ถ้าผู้บริหารยังยึดติดกับรูปแบบการบริหารแบบเดิม อาจเจอปัญหาว่าไม่สามารถดึงศักยภาพของพวกเขาออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ หรือหนักกว่านั้นคือ เก็บคนเก่งไว้ไม่ได้


การบริหาร Gen Z ที่ได้ผล ต้องเริ่มจากการสร้างความเชื่อใจเป็นอันดับแรก เพราะ Gen Z ไม่ใช่คนที่จะเคารพผู้นำจากตำแหน่ง แต่พวกเขาจะเคารพคนที่มีวิสัยทัศน์ เข้าใจบริบท และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาให้ค่ากับความจริงใจมากกว่าความเก่งแบบท่องจำ เพราะฉะนั้น การบริหารที่ดีควรเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้พูด ได้เสนอความคิดเห็น และกล้าพูดในสิ่งที่คิด อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้คือความโปร่งใสและความยืดหยุ่น Gen Z ต้องการรู้ว่าทำไมถึงต้องทำสิ่งนี้ ทำไปเพื่ออะไร และจะส่งผลต่อองค์กรอย่างไร พวกเขาไม่ได้ต้องการทำงานแค่เพื่อให้เสร็จ แต่ต้องการเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำมีความหมายและคุณค่าจริงๆ ดังนั้น ผู้บริหารต้องอธิบายเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายของโครงการ แผนระยะยาว หรือวิสัยทัศน์ขององค์กร และต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนแผนการทำงานให้สอดคล้องกับสไตล์ของพนักงาน ไม่ใช่คาดหวังให้ทุกคนเหมือนกันหมด


บรรยากาศในการทำงานก็เป็นเรื่องสำคัญ Gen Z ไม่ได้ต้องการแค่โต๊ะทำงานกับคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง แต่พวกเขามองหาสภาพแวดล้อมที่มีชีวิตชีวา มีพื้นที่ให้คิด มีอิสระในการสร้างสรรค์ และที่สำคัญคือมีวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างและเคารพความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิด ความเชื่อ หรือไลฟ์สไตล์ เมื่อพวกเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่จริงๆ เขาจะเต็มใจทำงานอย่างสุดใจ ไม่ใช่แค่ทำเพราะ ต้องทำ ความท้าทายอีกอย่างคือ การบริหารคนรุ่นนี้ต้องมีความคล่องตัวสูง เพราะพวกเขาไม่ชอบความจำเจและต้องการการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านทักษะ ความรู้ หรือบทบาทในงาน การสร้างโอกาสให้พวกเขาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่แค่การส่งไปอบรมแบบเป็นพิธี แต่ต้องเป็นการพัฒนาที่มีเป้าหมายชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตการทำงาน จะทำให้ Gen Z รู้สึกว่าตัวเองไม่หยุดอยู่กับที่ และยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าองค์กรพร้อมลงทุนในตัวเขาด้วย


ท้ายที่สุด การบริหาร Gen Z ที่ได้ผลต้องเน้นเรื่องความสัมพันธ์และความเข้าใจ ไม่ใช่แค่การบริหาร งาน แต่ต้องบริหาร คน ด้วยการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง การถามไถ่ความรู้สึก หรือการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นในมุมมองที่แตกต่าง สิ่งเล็กๆ เหล่านี้จะช่วยสร้างความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กร และทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้เป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆ ในระบบใหญ่ แต่เป็น คนสำคัญ ที่องค์กรให้คุณค่าอย่างแท้จริง ดังนั้น การบริหาร Gen Z ที่ได้ผล ไม่ใช่เรื่องของสูตรสำเร็จ แต่เป็นการเข้าใจธรรมชาติของคนรุ่นใหม่ และปรับวิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีสื่อสาร ให้เข้ากับพวกเขาได้อย่างลึกซึ้งและจริงใจ หากทำได้ องค์กรจะได้ทั้งคนเก่ง คนที่ทุ่มเท และคนที่พร้อมเติบโตไปพร้อมกันในระยะยาวแน่นอน.


ข้อดีของการปรับตัวเข้ากับ Gen Z


1.การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงระหว่างผู้บริหารกับทีมงาน

เมื่อผู้บริหารสามารถเข้าใจแนวคิด ทัศนคติ และความต้องการของคนรุ่น Gen Z ได้ ก็จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่มีพื้นฐานจากความเคารพ ความไว้ใจ และการสื่อสารที่โปร่งใส นี่คือสิ่งที่ Gen Z ให้ความสำคัญมากกว่าการเป็น หัวหน้า ที่สั่งอย่างเดียว แต่กลับชื่นชมผู้บริหารที่พร้อมจะเป็น ผู้นำร่วมทาง มากกว่า อีกอย่างพนักงานจะรู้สึก ว่าพนักงานมี Engagement มากขึ้น เมื่อพนักงานรู้สึกว่าถูกเข้าใจและได้รับการสนับสนุน พวกเขาจะทุ่มเทมากขึ้น


2.การสร้างแรงจูงใจในที่ทำงานได้อย่างตรงจุด

Gen Z ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเงินเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาต้องการแรงบันดาลใจ ความหมายในสิ่งที่ทำ และโอกาสในการเติบโตอย่างแท้จริง ดังนั้น เมื่อผู้บริหารสามารถตอบสนองความคาดหวังเหล่านี้ได้ ก็จะช่วยลดปัญหาการลาออก การหมดไฟ และเพิ่มความผูกพันกับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ


3.วัฒนธรรมองค์กรที่ทันสมัย เปิดกว้าง และยืดหยุ่นมากขึ้น

เพราะแนวคิดของคนรุ่นนี้จะผลักดันให้องค์กรปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้เทคโนโลยี การออกแบบรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น หรือแม้แต่การพัฒนาแนวทางการสื่อสารภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะกับ Gen Z เท่านั้น แต่ยังสร้างผลดีต่อทุกคนในทีม และทำให้องค์กรแข่งขันได้ในตลาดแรงงานยุคใหม่


4.ภาพลักษณ์ขององค์กร

องค์กรที่สามารถดึงดูดและรักษา Gen Z ไว้ได้ จะถูกมองว่าเป็นองค์กรที่ทันสมัย มีวิสัยทัศน์ และพร้อมเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของพนักงาน ผู้ร่วมงาน และแม้แต่ลูกค้า รวมถึงเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนเก่งจากภายนอกเข้าสู่ทีมได้ง่ายยิ่งขึ้น


5.การจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมใหม่ๆ

เพราะ Gen Z เติบโตมาท่ามกลางโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยี และข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงเต็มไปด้วยไอเดียใหม่ๆ และความกล้าในการทดลองสิ่งที่แตกต่าง การที่ผู้บริหารสามารถสนับสนุนให้พนักงานกลุ่มนี้ได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ จะทำให้องค์กรมีแนวโน้มที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาดและอนาคตได้ดีกว่าเดิม ดังนั้น การปรับตัวเข้ากับ Gen Z ไม่ใช่เรื่อง จำเป็นต้องทำ อย่างเดียว แต่คือโอกาสอันล้ำค่าที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยแรงขับเคลื่อนจากคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยพลัง ความคิดสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจ พร้อมจะผลักดันทุกสิ่งให้ก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง.


สรุป

ผู้บริหาร VS ปัญหา Gen Z ในองค์กร


ในยุคที่คนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z ก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริหารและองค์กรต่างๆ จึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อสร้างความเข้าใจ และออกแบบวิธีการบริหารจัดการที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ ความคิด และค่านิยมของคนรุ่นนี้ การบริหารจัดการแบบเดิมที่เน้นลำดับชั้น ความเคร่งครัด และความเป็นทางการ อาจไม่ตอบโจทย์กับคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับอิสรภาพ ความยืดหยุ่น และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ


Gen Z เติบโตมากับเทคโนโลยี พวกเขาคุ้นชินกับความรวดเร็วและการสื่อสารที่หลากหลาย จึงมองหาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่หยุดนิ่ง สามารถทดลอง ลงมือทำ และเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ ผู้บริหารจึงควรเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ แสดงศักยภาพ และให้พื้นที่ในการเติบโตในแบบที่ไม่ยึดติดกับกรอบแบบเดิมมากเกินไป พร้อมทั้งใช้การสื่อสารที่โปร่งใส ตรงไปตรงมา และรับฟังอย่างแท้จริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความรู้สึกมีคุณค่า


การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีความหมาย (meaningful culture) เป็นอีกจุดสำคัญที่ดึงดูดและรักษาคนรุ่น Gen Z ได้ดี เพราะคนรุ่นนี้ไม่ได้มองหางานแค่เพื่อเงินเดือน พวกเขาต้องการงานที่ตอบโจทย์ชีวิต งานที่สอดคล้องกับคุณค่าที่ตัวเองเชื่อ และองค์กรที่มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีจุดยืนทางสังคม และมีบทบาทในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดี


ดังนั้น การบริหารคนรุ่นใหม่ไม่ใช่เรื่องของการควบคุม แต่คือการสร้างแรงจูงใจร่วมกัน เปิดใจ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และก้าวข้ามความต่างระหว่างวัยอย่างเข้าใจ เพื่อร่วมกันสร้างองค์กรที่ยืดหยุ่น เติบโต และตอบโจทย์ทั้งคนทำงานและเป้าหมายขององค์กรอย่างยั่งยืน